ที่มา https://www.prachachat.net/property/news-1287797
ธ.เกียรตินาคินภัทร มองอสังหาฯปี’66 สำหรับผู้ประกอบการ ความคาดหวังมีแรงฟื้นตัวในปีนี้ ถูกชะลอจากดอกเบี้ยขึ้น และยกเลิกมาตรการผ่อนปรน LTV
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) โดยสายงานสินเชื่อธุรกิจ วิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลปี 2566 พบว่า มีโอกาสชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และมาตรการ LTV ที่เข้มงวดขึ้น
การฟื้นตัวจากปีก่อนหน้าชะงัก
ในปี 2565 พื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีตัวเลขยอดโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านใหม่และบ้านมือสองเพิ่มขึ้น 19.5% เทียบกับปี 2564
เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น อัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ การผ่อนปรนมาตรการ LTV รวมทั้งมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ภาครัฐ
โดยคาดการณ์ว่าจำนวนยูนิตเปิดใหม่ในปี 2566 จะยังคงแรงต่อเนื่องใกล้เคียงกับปี 2565 อยู่ที่ 108,600 หน่วย มีคอนโดฯ สัดส่วน 51% กระจุกตัวในกลุ่มราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทและ 2-3 ล้านบาท
เนื่องจากผลตอบรับที่ดีจากยอดขายของบ้านราคานี้ในปี 2565 แต่มีส่วนแบ่งทางการตลาดไม่เกิน 5% ของจำนวนยูนิตขายได้ทั้งหมด
ยอดขายปี 2566 ชะลอตัว สต๊อกบ้านพุ่งสูง
สายงานสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า จากปัจจัยลบที่ฉุดกำลังซื้อในบางกลุ่ม มีผลให้ภาพรวมอุปสงค์ของปี 2566 น่าจะชะลอตัวเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565
โดยในปี 2566 คาดการณ์ว่ายอดขายจะปรับลดลง 3-4 % โดยยูนิตเหลือขายสะสมมีโอกาสอิ่มตัวในบางพื้นที่ มีโอกาสที่จำนวนหน่วยขายสะสมจะอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (2561-2565) หรือมากกว่า 230,000 ยูนิต
ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมยังเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง มีแนวโน้มที่อาจเกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลายในบางทำเล เนื่องจากหลายโครงการจะมุ่งเน้นพัฒนาราคาถูกจำนวนมากเข้ามาแข่งขันในตลาด
ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนในพื้นที่กรุงเทพฯชั้นในสำหรับกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ราคา 5-10 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ยังคงเน้นการระบายสินค้าคงเหลือเดิม
แนะผู้ประกอบการเลี่ยงพื้นที่ที่มีสต๊อกคงค้างสูง
จากตลาดที่ยังคงชะลอตัวและโอกาสเกิดภาวะ Over-Supply ในบางพื้นที่ สายงานสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า ในปี 2566 ผู้ประกอบการควรพัฒนาโครงการโดยเลือกกลุ่มลูกค้าและทำเลอย่างระมัดระวัง
โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดมิเนียมในพื้นที่ที่มีการเปิดใหม่ของโครงการระดับราคา 1-2 ล้านบาทค่อนข้างมาก ได้แก่ โซนบางนา รังสิต เพชรเกษม และรามอินทรา เนื่องจากอาจส่งผลให้พื้นที่เหล่านี้มีปริมาณห้องชุดที่มากเกินไป
โดยกลุ่มสินค้าที่จะเริ่มเข้ามาในตลาดมากขึ้นจะเป็นกลุ่มบ้านแฝดราคา 5-10 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว 10-15 ล้านบาท ซึ่งขยายตัวได้ดีในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับกลุ่มบ้านระดับราคาสูง 20-50 ล้านบาท ในทำเลบางนา และกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ ยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ต้องควบคุมปริมาณสต๊อกบ้านและขนาดของโครงการให้เหมาะสมกับขนาดของตลาดเป้าหมาย